วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การอาชญากรรมและอาชญากรคอมพิวเตอร์

การอาชญากรรมและอาชญากรคอมพิวเตอร์

-การอาชญากรรมคอมพิวเตอร์คอม เป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ รวมถึงการก่อกวนโดยกลุ่มแฮกเกอร์
-อาชกรคอมพิวเตอร์ คือ ผู้กระทำผิดกฏหมายโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำคัญ สามารถจำเเนกอาชญากรเป็นกลุ่มดังนี้

1.แฮกเกอร์ คือ แฮกเกอร์ บุคคลที่ใช้ความสามารถในทางที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฏหมาย

2.เเครกเกอร์ คือ แฮกเกอร์ที่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ในทางธุรกิจ

3.แฮกดีวิสต์หรือไซเบอร์เทอร์รอริสต์ คือ แฮกเกอร์ที่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

-อาชกรคอมพิวเตอร์ ทั่วโลกจัดออกเป็น ๙ ประเภท ดังนี้

1.การขโมยข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต

2.การที่อาญากรนำเอาระบบการสื่อปกปิดความผิดของตนเอง

3.การละเมิดสิทธิปลอมแปลงรูปแบบ

4.การใช้คอมพิวเตอร์แพร่ภาพ ลามกอนาจาร

5.การใช้คอมพิวเตอร์ฟอกเงิน

6.การที่มีอัธพาลทางคอมพิวเตอร์ที่เข้าไปก่อกวนทำลายระบบสาธรณูปโภค เช่น จ่ายค่าไฟ

7.การหลอกลวงให้ร่วมค้าขายหรือลงทุนปลอม

8.การแทรกแซงข้อมูลแล้วนำมาเป็นประโยชน์ต่อตนเองโดยมิชอบ

9.การใช้คอมพิวเตอร์แอบโอนเงินบัญชีผู้อื่นเข้าบัญชีตนเอง

-การใช้คอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเครืองมือในการก่ออาญากรรม มีหลายรูปแบบ เช่น

(1.)การขโมยหมายบัตรเคดิต ซึ่งอาจทำได้จาก

1.การขโมยผ่านทางอืเล็กทรอนิส์

2.การชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเคดิต

-คอมพิวเตอร์ในฐานะของเป้าหมายอาชญากรรม
อาชญากรรมในคอมพิวเตอร์มี ๓ ประเด็น คือ

1.การเข้าถึงและการใช้งานโดยไม่ได้รับอนุณาต

2.การก่อกวนหรือทำลายข้อมูล

3.การขโมยข้อมูลและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

-วิธีการใช้งานในการกระทำความผิดทางอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปแล้ว วิธีการที่ใช้ในการประกอบอาชญากรรมทางคมพิวเตอร์ดังต่อไปนี้

1.ดาตาดิดลิง คือ การเปลี่ยนเเปลข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน การเปลี่ยนเเปลงข้อมูลนี้สามารถกระทำโดยบุคคลใดก็ได้ ซึ้งข้อมูลดังกล่าวหากถูเเก้ไขเพียงเล็กน้อยพนักงานเเต่ละคนจะไม่สงสัย

2.โทรจันฮอร์ส การเขียนโปรเเกรมคอมพิวเตอร์ที่แงไว้ในโปรเเกรม วีธีนี้มักใช้กับการฉ้อโกงทางคอมพิวเตอร์

3.ซาลามืเทคนิค  วิธีปัดเศษจำนวนเงิน แล้วนำมาทศนิยม นอกจากใช้กับการปัดเศษเงินเเล้ว วิธีนี้อาจใช้กับระบบการตรวจนับของสินค้าได้อีก

4.ซูเปอร์แซพปิง เป็นโปรแกรมที่ใช้ในศูนย์คอมพิวเตอร์ โปรเเกรมซูเปอร์เเซพ จะมีความเสี่ยงมากหากตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี

5.แทรปดอร์ เป็นการเขียนโปรเเกรมที่เลียนเเบบคล้ายหน้าจอปกติของระบบคอมพิวเตอร์ โดยโปรแกรมนี้จะเก็บข้อมูลที่ต้องการไว้ในไฟล์ลับ

6.ลอจิกบอมบ์ เป็นการเขียนโปรเเกรมคำสั่ง สามารถใช้ติดตามดูความเคลื่อนไหวของระบบบัญชี

7.อัสซินครอนีสแอตเเทรก  คือสามารถทำงานหลายๆอย่างพร้อมกันโดยประมวลผล ระบบดังกล่าวก่อให้เกิดจุดอ่อน

8.สกาเวนจิง คือวิธีที่จะได้ข้อมูลที่ทิ้งไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ หรืออาจใช้เทคโนโลยีซับซ่อนทพการหาข้อมูลนั้นๆ

9.ดาตาลีเกจ หมายถึง การทำให้ข้อมูลรั่วไหลออกไป บางครั้งคนร้ายอาจตั้งเครื่องดักสัญญาณไวกับคอมพิวเตอร์

10.พิกกีเเบกกิง วิธีการดังกล่าวสามารถทำได้ทั้งกายภาพ  อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ใช้สายสื่อสารเดียวกัน

11.อิมเพอร์เนชัน คือ การที่ตนร้ายเเกล้งเปลี่ยนปลอมบุคคลอื่นที่มีอำนาจหือได้รับอนุญาต โดยให้เหยื่อบอกรหัสเดิมก่อน ต่างๆ

12.ไวร์แทปพิง  เป็นการลักลอบดักฟังสัญญาณการสื่อสารโดยเจตนา โดยการกระทำความผิดดังกล่าวกำลังเป็นที่วิตกกังวลอย่างมาก

13.ซิมูเลชันแอนโมเดลลิ  ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนต่างๆ มีการสร้างแบบจำลองในการปฎิบัติการ หรือช่วยเหลือ

- วิธีการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลเเละคอมพิวเตอร์
-มี๔วิธีดังนี้

๑.ใช้ชื่อผู้ใช้  ผู้ใช้ควรเปลี่ยนรหัสด้วยตนเองภายหลัง

๒.ใช้วัตถุเพื่อการเข้าสู่ระบบ  เช่น บัตรเเม่เหล็ก หรือกุญเจ เป็นต้น

๓.ใช้อุปกรณ์ทางชีวภาพ เช่น ลายนิ้วมือ หรือการตรวจสอบ ถ้าข้อมูลไม่ต้องกัน เครื่องคอมพิวเตอร์จะปฎิเสธ

๔.ระบบเรียกกลับ เป็นระบบที่ผู้ใช้ระบุชื่อและรหัสผ่าน เพื่อขอเข้าใช้ หากถูกต้อง คอมพิวเตอร์จะเรียกกับเข้าใช้งานทันที

กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ

กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ

-กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
 มีดังนี้

1.กฏหมายข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วยตัวนั้นๆ

2.กฏหมายอาญากรรมทางคอมพิวเตอร์เพื่อคุ้งครองสังคมจากความผิดที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารอันเป็นถือทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง

3.กฏหมายการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อคุ้งครองการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต

4.กฏหมายการสับเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อที่จะเอื้อให้มีการทำนิติกรรมสัญญาทางอิเล็กทรอนิกส์ได้

5.กฏหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อสร้างความมั่นใจให้เเก่คู่กรณีในอันที่จะต้องในอันที่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อการลงลายเซ็น

6.กฏหมายการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อคุ้งครองผู้บริโภคและสร้างหลักประกันที่มั่นคง

7.กฏหมายโทรคมนาคมเพื่อวางกลไกในการเปิดเสรีให้มีการเเข่งขันที่เป็นธรรมชาตฺิและมีประสิทธิภาพ

8.กฏหมายระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

9.กฏหมายที่เกี่ยวเนื่องกับอินเทอร์เน็ต

10.กฏหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ โดยกฏหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๙ ที่ผ่านมา

ความหมายของจริยธรรม

ความหมายของจริยธรรม

จริยธรรม หมายถึง มีคำจำกัดความของจริยธรรมอยู่หลายความหมา เช่น "หลักของศีลธรรม ในเเต่วิชาชีพเฉพาะ" หรือสรุปได้ว่า จริยธรรมหมายถึง หลักของความถูกเเละความผิดที่บุคคลใช้เป็นแนวทางในการปฎิบัติ เป็นต้น

- ตัวอย่าง

1.การใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น ให้เกิดความเสียหายต่างๆ

2.การใช้คอมพิวเตอร์ในการขโมยข้อมูล

3.การเข้าถึงข้อมูลของบุคคลอื่นโดยไม่ได้อนุญาต

4.การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟเเวร์

- กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม

1.ความเป็นส่วนตัว คือ การรวบรวม เเละเก็บรักษา

2.ความถูกต้อง คือ ความถูกต้องเเละแม่นยำของการเก็บรวบรวม

3.ทรัพย์ทางปัญญา คือ กรรมสิทธิ์และมูลค่าของข้อมูลสารสนเทศ

4.การเข้าถึงข้อมูล คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้

- ความเป็นส่วนตัว
 ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเเทศ โดยทั่วไปหมายถึง สิทธิจะอยู่ตามลำพังและเป็นสิทธิเเละเจ้าของสามารถที่จะควบคุมข้อมูลได้ของตนเองให้กับผู้อื่น

ปัจจุบันมีประเด็นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่เป็นข้อน่าสังเกตดังนี้

1.การเข้าไปดูข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการบันทึกข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์รวมทั้งการบันทึก

2.การใช้เทคโนโลยีในการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล

3.การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ ในการขยายตลาด

4.การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล หมายเลขบัตรเคดิตต่างๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลไหม่ประวัติลูกค้าขึ้นมาไหม่

- ความถูกต้อง
ในการใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อการรวบรวม จัดเก็บ คุณลักษณะที่สำคัญ ทั้งนั้นนี้ข้อมูลจะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยูกับความถูกต้อง หรือกรณีของข้อมูลที่เผยเเพร่ผ่านเว็บไซต์ จะทราบได้อย่างไรว่าข้อผิดพราดที่เกิดขึนไม่ได้เกิดจากความจงใจและผู้ใดจะเป็นผู้รับผิดชอบหากเกิดข้อมูลผิดพลาด ข้อมูลควรไดัรับการตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะนำเข้าฐานข้อมูลนั้นๆ

- ทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา หมาบถึง สิทธิความเป็นเจ้าของซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่จับต้องได้ เช่น คอมพิวเตอร์ รถยนต์  เป็นทรัพย์สินทางปัญญา (ความคิด) ที่จับไม่ได้ เช่น บทเพลง ดปรเเกรมคอมพิวเตอร์ เเต่สามารถถ่ายทอดเเละบันทึกลงในสื่อต่างได้ๆ

- ลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ หมายถึงลิขสิทธิ์ ผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวลิขสิขสิทธิ์ทั่วไปมีอายุ๕๐ปีนับตั้งเเต่ได้สร้างสรรค์ขึ้น โทษของการละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ใดที่ถูกดำเนินคดีจะมีโทษอาญาได้

- สิทธิบัตร
 สิทธิบัตร หมายถึง เอกสารที่แสดงถึงการจดทะเบียนคุ้มครองการประดิษฐ์และการออกเเบบผลิตภัณฑ์ เเต่ต่างกันตรงที่สิทธิบัตรที่เป็นการประดิษฐ์ที่มีเทคนิคไม่สูงมากนัก เป็นการปรับปรุงเพียงเล็กน้อย

-การละเมิดลิชสิทธิ์
๑.การละเมิอลิขสิทธิ์โดยตรง  โดยไม่ได้รับอนุญญาติจากเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรง

๒.การละเมิดสิทธิ์ทางอ้อม คือ การกระทำทางการค้าขาย โดยผู้กระทำอยู่เเล้วว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ และการเเจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อความเสียหายได้

-การเข้าถึงข้อมูล
ปัจจุบันการเข้าใช้งานโปรเเกรม หรือระบบคอมพิวเตอร์มักจะมีการกำเนิดสิทธิตามระดับ กับข้อมูลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการใช้งานคอมพิวเตอร์เเละเครือข่ายรวมกันให้เป็นระเบียบ และข้อบังคับในเเต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัดนั้นๆ

ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ

ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ

      การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศจนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก   นับได้ว่าเป็นยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคข้อมูลข่าวสาร   ซึ่งก่อให้เกิดประโยขน์ต่อมวณมนุษย์มหาศาล
1.ช่วยส่งเสริมความสะดวกสะบายของมนุษย์   เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยทำให้มนุษย์มีชีวิตความเป็ยอยู่ที่ดีขึ้น   ช่วยส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน
2.ช่วยทำให้การผลิตในอุตสาหกรรมดีขึ้น   ระบบการผลิตสินค้าในปัจจจุบันเป็นระบบที่ต้องการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก   มีคุณภาพมาตรฐาน   การผลิตในสมัยปัจจุบันใช้เครื่องจักทำงานอย่างอัตโนมัติ
3.ช่วยส่งเสริมการค้นคว้าให้มีความสะดวกและประสิทภาพขึ้น   เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเช่น   เครือข่ายคอมพิวเตอร์ช่วยให้งานค้นคว้าวิจัยมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นคอมพิวเตอร์ช่วยทำงานที่ซับซ่อน
3.ช่วยส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยให้มีความสะดวกและมีประสิทธิภาพขึ้น  เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเช่น เครือข่ายคอมพิวเตอร์ช่วยให้งานค้นคว้าวิจัยมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น
4.ช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น   คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้กิจการทางด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้าขึ้นมาก   ปัจจุบันเครื่องมือทางการแพทย์ช่วยในการดำเนินการ
5. ช่วยส่งเสริมสติปัญญาของมนุษย์ คอมพิวเตอร์มีจุดเด่นที่ทำให้การทำงานต่างๆ รวดเร็วมีความเเม่นยำ เเละสามารถทำงานเสร็จในเวาลาไม่นาน เพื่อให้มนุษย์หาทางศึกษาเเก้ปัญหาเช่น การจำลองสภาวะของสิ่งเเวดล้อมเป็นต้น
6. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง การใช้เทคนโลยีเป็นเรื่องที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเป็นต้น ช่วยส่งเสริมงานทางด้านเศรษฐกิจธุระกิจอาศัยการเเลกเปลียนข้อมูลทางอีเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน เกิดระบบการสับเปลี่ยนข้อมูลอีเล็กทรอนิกส์
7. ช่วยให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน สังคมโลกไร้พรมเเดน

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลง

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลง

   แนงโน้มการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก   เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้หารหระจายข้อมูลข่าวสารดเป็นไปอย่างรวดเร็ว  ทุกทิศทาง  และมีระบบตอบสนอง  ด้วยเหตุนี้
   1.เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคอมอุตสาหกรรมเป็นสังคมสารสนเทศสภาพของสังคมโลกเปลี่ยนแปลงมาแล้ว2ครั้ง จากสังคมความเป็นอยู่แบบแร่ร่อนมาเป็นสังเกษตรที่มีการเพาะปลูกและผลิตผลทางการเกษตร  จึงต้องมาผลิตแบบอุตสาหกรรมทำให้สภาพเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงมาเป็นสังคมเมือง
    2.เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบตอบสนองตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น  การดูโทรทัศน์  วิทยุ   เมื่อเปิดเครื่องรับโทรทัศหรือวิทยุ   เมื่อเปิดเครื่องรับโทรทัศน์หรือวิทยู  ไม่สามารถเลือกตามความต้องการได้หากไม่พอใจก็ทำได้แค่เลือกสถานีใหม่
     3.เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพการทำงานแบบทุกสถานที่ และทุกเวลาเมื่อการสื่อสารกล่าวหน้าและแพร่หลายขึ้น   การโต้ตอบผ่านเครือข่ายทำให้มีปฏิสัมพันธ์ได้  เกิดระบบการประชุมทางวีดิทัศน์  ระบบประชุมบนเครือข่าย  ระบบโทรศึกษา    ระบบการค้าบนเครือข่าย ลัษณะดำเนินงานเหล่านี้  ทำให้ผู้ใช้ขยายขอบเขตการดำเนินกิจกรรมไปทุกทีทุกเวลา
      4.เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศษฐกิจเปลี่ยนจากระบบท้องถิ่นไปเป็นเศษฐกิจโลกระบบเศษฐกิจซึ่งแต่เดิมมีขอบเขตจำกัดภายในประเทศก็กระจายเป็นเศษฐกิจโลก
      5.เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีลักษณะผูพัน  หน่วยงานภายในเป็นแแบบเครือข่ายมากขึ้น   แต่เดิมการองค์กรจัดเป็นลำดับขึ้น  มีสานการจากบั
คับบัญชาจากบนลงล่าง  แต่เมื่อการสื่อสารแบบสองทางและการกระจายข่าวสารดีขึ้น
      6.เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการการระยะยาวขึ้น  อีกทั้งทำให้วิธีการตัดสินใจรอบคอบมากขึ้น    แต่เดิมการตัดสินปัญหาอาจมีหนทางเลือกให้น้อย
     7.เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทที่สำคัญในทุกวงการ  ดังนั้นจึงมีผลต่อการเปลี่ยยนแปลงทางสังคม  วัฒนธรรม   ศีลธรรม   การศึกษาเศษฐกิจและการเมื่องอย่างมาก

การขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศ

การขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศ

     เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีที่มีการแพร่ขยายอย่างรวดเร็ว   จนมีความสามารถในการใช้งานเพิ่มขึ้น  ขณะเดียวกันก็มีคาราถูกลง  ผลของการพัฒนานี้ทำให้มีการประยุกต์ใช้งานกันอย่างกว้างขวาง
     สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในอดีตประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเกษตรกรรม  มีผลผลิตทางด้านการเกษตรเป้นสินค้าหลัก  ต่อมามีการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตเป็นประเทศอุตสาหกรรม
    หากพิจารณาการใช้งานคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารทั่วไปของโลก  ปัจจุบันมูลค่าของสินค้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว  สิ่งที่หน้าสนใจคือพัฒนาแล้ว10ประเทศได้แก่สหรัฐอเมริกา  สิงค์โปร  ฟินแลนด์  ลักเซมเบิร์ก  เนเธอร์แลนด์  เขตบริหารพิเศษฮ่องกง  ไอซ์แลนด์
สวีแดน  แคนนาดา  และสวิตเซอร์แลนด์
     ถ้าพิจารณาบริษัทผู้ผลิตสินค้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศพบว่า  ประเทศผู้ผลิตเพื่อส่งออกมีเพียงแค่ไม่กี่ประเทศทั่วโลก
    ความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสาร  ทำให้อุปกรณ์ต่างๆมีขนาดเล็กลงแต่มีความสามรเพิ่มขึ้น  และมีราคาถูกจนผู้ที่น่าสนใจสามารถหาซื้อมาได้  แทบกล่าวได้ว่าบทบาทของเทคโนโลยีารสนเทศจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน
     ปัจจุบันคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารได้ประโยชน์อย่างมากต่อวงการธุรกิจ  ทำให้ทุกธุรกิจมีการลงทุนขยายขอบเขตการให้บริการโดยใช้ระบบสารสนเทศกันมากขึ้น การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์  เช่น อินเทอร์เน็ตมีอัตราการขยายตัวสูงมาก   จนกล่าวได้ว่าเป็นอัตราการขยายตัวแบบทวีคูณ ผู้คนบนโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่ได้

ประเภทของระบบสารสนเทศ

ประเภทของระบบสารสนเทศ

   ปัจจุบันจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศชัดเจนมากขึ้น  เนื่องจากการบริหารงานในองค์การมีหลายระดับ  กิจกรรมขององค์การแต่ละประเภทจะแตกต่างกัน  ดังนั้นระบบสารสนเทศของแต่ละองค์การอาจแบ่งประเภทแตกต่างกันออกไป
          ซึ่งระบบสารสนเทศสามารถจัดแบ่งประเภทได้หลายวิธี  ในที่นี้ขอกล่าวถึงประเภทของระบบสารสนเทศที่สำคัญ3 ประเภทดังนี้
1.ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงานหรือผู้บริห่รระดับต่างๆ
2.การจำแนกคามหน้าที่ขององค์การ
3.การจำแนกการให้การสนับสนุนของระบบสารสนเทศ
     ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงานหรือบริหารระดับต่างๆแบ่งประเภทของสารสนเทศไว้  ดังนี้
1.ระบบประมวณผลรายการ  เป็นระบบที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานประจำ  ทำการบันทึกจัดเก็บ  ประมวณรายการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน  โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานแทนการทำงานด้วยมือ
2.ระบบสำนักงานอัตโนมัติ เป็นระบบที่สนับสนุนงานในสำนักงาน หรืองานธุรการของหน่วยงาน  ระบบจะประสานการทำงานของบุคลากรรวมทั้งกับบุคคลภายนอกหรือหน่วยงานอื่น
3.ระบบสร้างความรู้ เป็นระบบที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรที่ทำงานด้านการความรู้เพื่อพัฒนาการคิดค้น  สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
4.ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง  เป็นระบบที่สร้างสารสนเทศเชองกลยุทธ์สำหรับผู้บริหารระดับสูง  ซึ่งทำหน้าที่กำหนดแผนระยะยาวและเป้าหมายของกิจการ
    ระบบสารสนเทศการจำแนกตามการให้การสนับสนุนของระบบสารสนเทศ  การจำแนกตามการให้การสนับสนุนของระบบสารสนเทศ แบ่งเป็น3ระบบดังนี้
1.ระบบสารสรเทศประมวณผลรายการ
2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
3.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ

การแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์

การแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์

      คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยหลักการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สัญญาณทางไฟฟ้าแทนตัวเลขศูนย์และหนึ่ง  ซึ่งเป็นตัวเลขในระบบเลขฐานสอง แต่ละหลังเรียกว่า  บิต และเมื่อนำตัวเลขหลายๆ บิตมาเรียงกัน  จะใช้รหัสแทนจำนวนอักขระหรือสัญลักษณ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้
        รหัสแอสกี   การกำหนดรหัสแทนข้อมูลขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมูลและคอมพิวเตอร์รหัสที่ใช้แทนตัวอักขระที่เป็นมาตรฐาน
        รหัสเอบซีดิก  เป็นการกำหนดรหัสแทนตัวอักขระที่ใช้กันแพร่หลายอีกแบบหนึ่ง  การกำหนดรหัสจะใช้8บิตหรือ1ไบต์ต่อ1อักขระ

ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์

ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์

           ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย  ฮาร์ดแวร์  ซอฟต์แวร์  ข้อมูล  บุคลากร   กระบวนงาน   และโทรคมนาคมซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อทำการรวบรวม  จัดการ  จัดเก็บและประมวณผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศดังนี้
            1.ฮาร์ดแวร์ คือ  อุปกรณ์ทางกายภาพซึ่งก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์และหน่วยงานประมวณผลต่างๆ
            2.ซอฟต์แวร์  ประกอบด้วยกลุ่มของโปรแกรมที่ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกับฮาร์ดแวร์และใช้ในการประมวณผลข้อมูลเป็นสารสนเทศ
            3.ข้อมูล  ในส่วนนี้หมายถึง  ข้อมูลและสารสนเทศที่ถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูล   โดยฐานข้อมูล หมายถึง  กลุ่มของข้อมูลและสารสนเทศที่มีความเกี่ยวข้องกัน
            4.บุคลากร  หมายถึง   บุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานคอมพิวเตอร์ทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ จนถึงผู้อำนวยการคอมพิวเตอร์
            5.กระบวนงาน  หมายถึง  กลุ่มของคำสั่งหรือกฎหมายที่แนะนำวิธีการปฎิบัติงานกับคอมพิวเตอร์ในระบบสารสนเทศ
            6.การสื่อสารข้อมูล  หมายถึง  การส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เพื่อติดต่อสื่อสารและช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครอข่าย

ระบบสารสนเทศ

ระบบสารสนเทศ



       ระบบสารสนเทศ  หมายถึง   ระบบที่ดำเนินการจัดการข้อมูลข่าวสารในองค์กรให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างเป็นระบบระเบียบ  โดยมีกรือไม่มีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้  แต่ในที่นี้จะหมายถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยจัดการข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ได้มาเพื่อสารสนเทศเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจในเวลาอันรวดเร็วและถูกต้องที่สุด  ดังนั้นระบบสารสนเทศในที่นี้จึงประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์  ซอฟต์แวร์   ผู้ใช้  กระบวนการ   และตัวข้อมูลหรือสารสนเทศโดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนสามารถตรวจสอบและประเมินผลระบบได้

การจัดการข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ

การจัดการข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ

     การทำข้อมูลให้เป็นสารสนเทศที่จะเป็นประโยขน์ต่อการใช้งาน   จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินการ  เริ่มตัั่งแต่การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล   การดำเนินการประมวณผล ข้อมูลให้กลายเป็นสารสนเทศ   และการดูแลรักษาสารสนเทศเพื่อการใช้งาน  ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
     1.การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล   ควรประกอบด้วย
         1.การเก็บรวบรวมข้อมูล  เป็นเรื่องของการเก็บรวบร่วมข้อมูลซึ่งมีจำนวนมาก  และต้องเก็บให้ได้อย่างทันเวลา
         2.การตรวจสอบข้อมูล  เมื่อมีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูล   เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง  ข้อมูลที่เก็บเข้าในระบบจะต้องมีความเชื่อถือได้
      2.การดำเนินการประมวณผลข้อมูลให้กลายเป็นสารสนเทศ  ประกอบด้วยกิจการดังต่อไปนี้
         1.การจัดแบ่งข้อมูล  ข้อมูลที่จัดเก็บจะต้องมีการเก็บการแยกกลุ่มเพื่อเตรียมไว้สำหรับการใช้งาน  การแบ่งแยกกลุ่มมีวิธีการที่ชัดเจน
         2.การจัดเรียงข้อมูล  เมื่อจัดแบ้งกลุ่มเป็นแฟ้มแล้ว  ควรมีการจัดเรียงข้อมูลตามลำดับตัวเลข  หรืออักษร
         3.การสรุปผล  บางครั้งข้อมูลที่จัดเก็บมีเป็นจำนวนมาก  จำเป็นต้องมีการสรุปผลหรือสร้างรายงานย่อ  เพื่อนำไปใช้ประโยชน์
         4.การคำนวณ  ข้อมูลที่เก็บมีเป็นจำนวนมาก  ข้อมูลบางส่วนเป็นข้อมูลตัวเลขที่สามารถนำไปคำนวณเพื่อหาผลลัพธ์บางอย่างได
        3.การดูแลรักษาสารสนเทศเพื่อการใช้งาน  ประกอบด้วย
          1.การเก็บรักษาข้อมูล  หมายถึง  การนำข้อมูลมาบันทึกเก็บรักษาไว้ในสื่อบันทึกต่างๆ
          2.การค้นหาข้อมูล   ข้อมูลที่จัดเก็บไว้มีจุดประสงค์ที่จะเรียนใช้งานได้ต่อไป
          3.การทำสำเนาข้อมูล  การทำสำเนาเพื่อที่จะนำข้อมูลเก็บรักษาไว้
          4.การสื่อสาร  ข้อมูลต้องกระจายหรือส่งต่อไปยังผู้ใช้งานที่ห่งไกลได้ง่าย

สารสนเทศ

สารสนเทศ

         สารสนเทศหมายถึง  ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์  เพราะได้ผ่านการประมวณผลด้วยวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้อง  เพื่อให้ได้ผลลลัพธ์ตรงตามความต้องการของผู้ใช้
         1.ความถูกต้องแม่นยำ  พิจารณาได้จากอัตราส่วนของสารสนเทศที่ถูกต้องกับจำนวนสารสนเทศที่ผลิตขึ้นมาทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง
          2.ความทันต่อการใช้งาน  พิจารณาจากสถานการณ์  เงื่อนไขเวลา    ที่จำเป็นต้แงใช้ข้อสนเทศกับข้อสนเทศที่ได้  มิได้หมายถึงความรวดเร็วในการเก็บข้อมูล
           3.ความสมบูรณ์และกะทัดรัด   พิจารณาจากการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงที่กระจัดกระจายให้ได้ปริมาณมากพอ  ครอบคลุมประเด็นที่ต้องใช้ประโยชน์ในเรื่องนั้นๆ
           4.สอดคล้องต่อความต้องการ  พิจารณาจากความต้องการในการรับรู้ของผู้ที่เกี่ยวข้อง   รวมถึงสารสนเทศที่จำเป็นต่อภารกิจ
            5.เข้าใจง่าย  สารสนเทศที่มีคุณภาพจะต้องเข้าใจง่าย   ไม่ซ้ำซ้อนต่อความเข้าใจ
             6.เชื่อถือได้   สารสนเทศที่เชื่อถือได้  วิธีการรวบรวมข้อมูลต้องมีความหน้าเชื่อถือ
             7.คุ้มราคา  สารสนเทศที่ผลิตควรจะต้องมีความประหยัด  เหมาะสมคุ้มค่ากับราคา
             8.ตรวจสอบได้  สารสนเทศจะต้องสวดสอบความถูกต้องได้
             9.สะดวกในการเข้าถึง   สารสนเทศจะต้องง่ายและสะดวกต่อการเข้าถึงข้อมูลตามระดับ
            10.ปลอดภัย  สารสนเทศจะต้องถูกออกแบบและจัดการให้มีความปลอดภัย

ข้อมูล

ข้อมูล

ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของสิ่งที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่ของ หรือเหตุการณ์ ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้อาจอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น ตัวเลข ข้อความ ภาพ เสียง และวีดิทัศน์ ดังนั้น การเก็บข้อมลูจึงเป็นการเก็บรวบรวมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสื่งที่สนใจ


ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านต่างๆ

ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านต่างๆ

ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านต่างๆ

       การกำเนินของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณ 50  กว่าปีที่แล้ว   นับเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ยุคสารสนเทศ  ในช่วงแรกมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคำนวณ  ต่อมาได้มีความพยายามพัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดการข้อมูล  เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามากขึ้น   ทำให้สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกล่าวดังนี้
     1.การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น   สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง  มีการพัฒนาใช่ระบบสื่อสารโทรคมนาคม   เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น  มรการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกภาวยในบ้าน เช่น  ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ   ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องซักผ้า  ใช่ควบคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน
     2.เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส  เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการกระจายไปทั่งทุกหนแห่งแม้แต่ถิ่นทุรกันดาร   ทำให้มีการกระจายโอกาสการเรียนรู้มีการใช่ระบบการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม
     3.สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน  การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้เช่น  วีดีทัศน์  เครื่องฉายภาพ   คอมพิวเตอร์ช่วยสอนคอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา
     4.เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม  การจัดการทรัพยากรธรรมชาตฺหลายยอย่างจำเป็นต้องใช้สารสนเทศ เช่น  การดูแลรักษาป่า  จำเป็นต้องใช้ข้อมูล  มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามสภาพข้อมูลสภาพอากาศ
      5.เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ  กิจการทางด้านการทหารมรการใช้เทคโนโลยี  อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ล่วนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม  มีการใช้ระบบป้องกันภัย  ระบบเฝ้าระวังที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน
      6.การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม  การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจำเป็นต้องหาวิธีการในการผลิตให้ได้มาก  และให้ราคาถูกลง เพื่อได้ซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น

ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
  • เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในการประกอบการทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการอุตสาหกรรม จำเป็นต้องหาวิธีในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเข้ามาช่วยทำให้เกิดระบบอัตโนมัติ เราสามารถฝากถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ตลอดเวลา ธนาคารสามารถให้บริการได้ดีขึ้น ทำให้การบริการโดยรวมมีประสิทธิภาพ ในระบบการจัดการทุกแห่งต้องใช้ข้อมูลเพื่อการดำเนินการและการตัดสินใจ ระบบธุรกิจจึงใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการทำงาน เช่น ใช้ในระบบจัดเก็บเงินสด จองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
  • เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย เมื่อมีการพัฒนาระบบข้อมูล และการใช้ข้อมูลได้ดี การบริการต่าง ๆ จึงเน้นรูปแบบการบริการแบบกระจาย ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน สามารถสอบถามข้อมุลผ่านทางโทรศัพท์ นิสิตนักศึกษาบางมหาวิทยาลัยสามารถใช้คอมพิวเตอร์สอบถามผลสอบจากที่บ้านได้
  • เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่าง ๆ ปัจจุบันทุกหน่วยงานต่างพัฒนาระบบรวบรวมจัดเก็บข้อมูลเพื่อใข้ในองค์การประเทศไทยมีระบบทะเบียนราษฎร์ที่จัดทำด้วยระบบ ระบบเวชระเบียนในโรงพยาบาล ระบบการจัดเก็บข้อมูลภาษี ในองค์การทุกระดับเห็นความสำคัญที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
  • เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องกับคนทุกระดับ พัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ดังจะเห็นได้จาก การพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ การใช้ตารางคำนวณ และใช้อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมแบบต่าง ๆ เป็นต้น

ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
  • เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในการประกอบการทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการอุตสาหกรรม จำเป็นต้องหาวิธีในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเข้ามาช่วยทำให้เกิดระบบอัตโนมัติ เราสามารถฝากถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ตลอดเวลา ธนาคารสามารถให้บริการได้ดีขึ้น ทำให้การบริการโดยรวมมีประสิทธิภาพ ในระบบการจัดการทุกแห่งต้องใช้ข้อมูลเพื่อการดำเนินการและการตัดสินใจ ระบบธุรกิจจึงใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการทำงาน เช่น ใช้ในระบบจัดเก็บเงินสด จองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น
  • เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย เมื่อมีการพัฒนาระบบข้อมูล และการใช้ข้อมูลได้ดี การบริการต่าง ๆ จึงเน้นรูปแบบการบริการแบบกระจาย ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน สามารถสอบถามข้อมุลผ่านทางโทรศัพท์ นิสิตนักศึกษาบางมหาวิทยาลัยสามารถใช้คอมพิวเตอร์สอบถามผลสอบจากที่บ้านได้
  • เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่าง ๆ ปัจจุบันทุกหน่วยงานต่างพัฒนาระบบรวบรวมจัดเก็บข้อมูลเพื่อใข้ในองค์การประเทศไทยมีระบบทะเบียนราษฎร์ที่จัดทำด้วยระบบ ระบบเวชระเบียนในโรงพยาบาล ระบบการจัดเก็บข้อมูลภาษี ในองค์การทุกระดับเห็นความสำคัญที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
  • เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องกับคนทุกระดับ พัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ดังจะเห็นได้จาก การพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ การใช้ตารางคำนวณ และใช้อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมแบบต่าง ๆ เป็นต้น

วิวัฒนาการของมนุษย์เทคโนโลยีสารสนเทศ

วิวัฒนาการของมนุษย์เทคโนโลยีสารสนเทศ

วิวัฒนาการเทคโนโลยีสามารถแบ่งได้หลายแบบ โดยขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีอาจจะสรุปเกณฑ์ที่ใช้แบ่งได้ดังนี้
1. ระยะเวลา
2. ความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยี
3. ลักษณะของเทคโนโลยี
 1.วิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่แบ่งตามระยะเวลา แบ่งได้ 4 ยุค คือ
1.1 ยุคโบราณ ยุคแรก ๆ ประมาณ 10,000 ปี ก่อนคริสตศักราช มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆต้องดิ้นรนหาอาหารด้วยการล่าสัตว์ เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด มนุษย์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ไม้ กระดูก ขนสัตว์ ใบไม้ หญ้า เพื่อการดำรงชีวิต
1.2 ยุคกลาง  เป็นยุคที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเครื่องกลไกต่าง ๆ เช่น ในประเทศจีน ใช้ระบบแม่แรงยกสิ่งของ (Hydraulic Engineering) เพื่อใช้กับสิ่งก่อสร้าง
1.3 ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม  ยุคนี้เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้ามากขึ้น เป็นยุคของเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology)มีการสร้างกังหันลมและใช้พลังไอน้ำ สำหรับการทำงานของเครื่องจักรกล และการค้นพบความรู้เรื่องไฟฟ้าและเกิดการคิดค้นการสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
1.4 ยุคศตวรรษที่ 20  เป็นยุคของการบิน การส่งจรวด ความรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์และระเบิดปรมาณู การประดิษฐ์ คิด ค้นวัสดุใหม่ ๆ
 2. วิวัฒนาการของเทคโนโลยีแบ่งตามความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยี แบ่งได้ 2 ยุค คือ
2.1 ยุคแรก  เทคโนโลยีเกิดขึ้นพร้อมกับการมีมนุษยชาติ เป็นการสร้างอุปกรณ์หรือเครื่องมือเพื่อการยังชีพ โดยใช้วัสดุธรรมชาติใกล้ตัว
2.2 ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม  เทคโนโลยียุคปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากมีการประดิษฐ์เครื่องจักรกลเพื่อใช้แทนแรงงานคนและพลังน้ำไหลตามธรรมชาติไปสู่ต้นกำลังการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม                             
3. วิวัฒนาการของเทคโนโลยีแบ่งตามลักษณะของเทคโนโลยี แบ่งได้ 5 ขั้น คือ
1. ช่างฝีมือ (Handcraft)       2. ช่างกล (Mechanization)         3. ระบบเครื่องจักรโรงงาน (Mass production)
4. เครื่องจักรอัตโนมัติ (Automation)             5. สมองกล (Cybermation)
 ตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยี ได้แก่
1. สภาพสังคม เศรษฐกิจและการเมือง
2. ทรัพยากรในสังคม
3. จริยธรรมของสังคม
 ระดับและการจัดกลุ่มของเทคโนโลยี
ระดับของเทคโนโลยี  เทคโนโลยีที่ใช้ในสังคมสามารถแบ่งได้ 3 ระดับ คือ
1) เทคโนโลยีระดับพื้นบ้านหรือระดับพื้นฐาน (Low Technology)
2) เทคโนโลยีระดับกลาง (Intermediate Technology)
3) เทคโนโลยีระดับพื้นสูง (High Technology
เทคโนโลยีระดับพื้นบ้าน
         ส่วนมากเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่แต่เดิมตั้งแต่ยุคโบราณเกิดขึ้นจากความจำเป็นในการยังชีพของชาวชนบทในท้องถิ่นมีการประยุกต์ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ได้จากธรรมชาติโดยตรงตลอดจนใช้แรงงานในท้องถิ่น มีการสืบทอดเทคโนโลยีต่อ ๆ กันมาพร้อมกับขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น ดังนั้นอาจเรียกเทคโนโลยีระดับต่ำว่าเป็นเทคโนโลยีท้องถิ่น (Traditional technology ) อันจัดเป็นเทคโนโลยีอย่างง่ายๆ ซึ่งผู้ที่มีความสามารถในระดับต่ำจำเป็นต้องมีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทคโนโลยีนั้น ๆ อย่างถูกต้อง เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้เพื่อการดำรงชีวิต แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีเข้าใจอย่างลึกซึ้งจนถึงระดับแก้ไข ดัดแปลง เพียงแต่รู้หลัก
 เทคโนโลยีระดับกลาง (Intermediate Technology)
      เกิดจากการปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยีระดับต่ำหรือเทคโนโลยีพื้นบ้านมาเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนั้นมากยิ่งขึ้น ผู้พัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นผู้มีความรู้ลึกซึ้ง เข้าใจระบบการทำงานและกลไก ต่าง ๆ ตลอดจนสามารถแก้ไขซ่อมแซมอุปกรณ์ เครื่องมือให้กลับสภาพดีดังเดิมได้ นอกจากนี้จะต้องมีประสบการณ์เข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามสมควร นักพัฒนามีบทบาทอย่างมากในการใช้เทคโนโลยีระดับกลางในการเสริมความรู้และประสบการณ์ให้กับผู้คนในท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น การผลิตอาหารโดยใช้ผลิตผลเหลือใช้จากการเกษตร การปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อแก้ปัญหาดินเสื่อม การถนอมอาหาร การสร้างอ่างเก็บน้ำ และเครื่องขูดมะพร้าวเป็นต้น
เทคโนโลยีระดับสูง (High Technology)
เป็นเทคโนโลยีที่ได้จากประสบการณ์อันยาวนาน มีความสลับซับซ้อน เพราะเป็นความสามารถในการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งนับเป็นความสามารถในระดับสูงกว่าการแก้ปัญหาหรือแก้ข้อขัดข้องของเทคโนโลยีต้องรู้จักดัดแปลงเทคโนโลยีเดิมให้มีคุณภาพดีขึ้นจนก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เทคโนโลยีระดับสูงนั้นอาจจำเป็นต้องอาศัยการศึกษาเรียนรู้ในสถาบันการศึกษาชั้นสูงมีการวิจัยทดลองอย่างสม่ำเสมอและมีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือ เครื่องจักรกลต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูง ตัวอย่างเช่น การผลิตอาหารกระป๋อง การคัดเลือกพันธุ์สัตว์โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ กะทิสำเร็จรูป ยู เอช ที และกะทิผง เป็นต้น